Position:home  

ห้ามพลาด! Trailing Stop คืออะไร เทคนิคช่วยล็อกกำไรให้พอร์ตคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

Trailing Stop คืออะไร?

เทคนิคที่ใช้ในการตั้งคำสั่งขายเพื่อรักษาผลกำไรที่ได้จากการลงทุน เมื่อราคาของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนไว้เคลื่อนไหวในทิศทางที่ต้องการ เมื่อสินทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น คำสั่งนี้จะปรับขึ้นตามเพื่อล็อกกำไร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องผลกำไรที่ได้จากการลงทุน ช่วยให้คุณปล่อยให้การลงทุนของคุณทำงานโดยไม่ต้องคอยจับตาดูตลาดอย่างใกล้ชิด

วิธีใช้ Trailing Stop

การใช้ Trailing Stop มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  1. กำหนดจุดเริ่มต้น: กำหนดจุดเริ่มต้นของ Trailing Stop ซึ่งมักจะเป็นจุดที่ราคาสินทรัพย์อยู่สูงกว่าจุดที่คุณซื้อมา
  2. ตั้งเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว: กำหนดเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่คุณต้องการให้ Trailing Stop ปรับขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งไว้ที่ 5% Trailing Stop จะปรับขึ้น 5% ทุกครั้งที่ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 5%
  3. เลือกประเภทคำสั่ง: เลือกประเภทคำสั่ง Trailing Stop ที่ต้องการใช้ เช่น Trailing Stop แบบเปอร์เซ็นต์หรือ Trailing Stop แบบราคา
  4. ตั้งคำสั่ง: ตั้งคำสั่งขายตามประเภทที่เลือก โดยระบุเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวหรือราคาที่ต้องการให้ Trailing Stop ปรับขึ้น

ประโยชน์ของ Trailing Stop

การใช้ Trailing Stop มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่

trailing stop คือ

  • ล็อกกำไร: Trailing Stop ช่วยรักษาผลกำไรที่ได้จากการลงทุนโดยปรับขึ้นตามราคาสินทรัพย์
  • จำกัดความเสี่ยง: เมื่อราคาสินทรัพย์ลดลง Trailing Stop จะปรับลงตามเพื่อจำกัดความสูญเสีย
  • อัตโนมัติ: Trailing Stop เป็นเทคนิคอัตโนมัติที่ช่วยให้คุณปล่อยให้การลงทุนของคุณทำงานได้โดยไม่ต้องคอยเฝ้าดูตลาด
  • ลดความเครียด: Trailing Stop ช่วยลดความเครียดจากการลงทุนได้ โดยช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลว่าจะขายสินทรัพย์ออกไปในเวลาที่เหมาะสม

ข้อควรระวังในการใช้ Trailing Stop

แม้ว่า Trailing Stop จะเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ ได้แก่

  • ความผันผวนของราคา: Trailing Stop อาจไม่สามารถปกป้องผลกำไรได้หากราคาสินทรัพย์ผันผวนอย่างรุนแรง
  • การไหลออกของสภาพคล่อง: ในช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ คำสั่งขายอาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียได้
  • ความล่าช้า: Trailing Stop อาจมีความล่าช้าในการปรับขึ้นได้ ส่งผลให้สูญเสียผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้

ตัวอย่างการใช้ Trailing Stop

ยกตัวอย่างเช่น คุณซื้อหุ้นบริษัทแห่งหนึ่งที่ราคา 100 บาท และตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 5% เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 105 บาท Trailing Stop จะปรับขึ้นไปที่ 100 บาท (105 - 5 = 100) เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 110 บาท Trailing Stop จะปรับขึ้นไปที่ 105 บาท (110 - 5 = 105) ด้วยวิธีนี้ Trailing Stop จะช่วยปกป้องผลกำไรที่ได้จากการลงทุนของคุณไว้

เทคนิคและเคล็ดลับ

  • ใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่น: Trailing Stop สามารถใช้ร่วมกับกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ ได้ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการวิเคราะห์พื้นฐาน
  • ทดสอบในบัญชีจริง: ก่อนใช้ Trailing Stop ในบัญชีจริง ควรทดสอบกลยุทธ์นี้ในบัญชีจำลองเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับคุณ
  • ปรับแต่งเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว: เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของ Trailing Stop อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์และความเสี่ยงที่คุณยินดีรับ
  • เฝ้าติดตามตลาด: แม้ว่า Trailing Stop จะเป็นเทคนิคอัตโนมัติ แต่ก็ควรเฝ้าติดตามตลาดเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของคุณยังคงเป็นไปตามแผน

เรื่องราวการใช้ Trailing Stop

เรื่องที่ 1: นักลงทุนคนหนึ่งซื้อหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่ราคา 50 บาท และตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 10% เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 60 บาท Trailing Stop จะปรับขึ้นไปที่ 54 บาท (60 - 6 = 54) จากนั้นราคาหุ้นก็ผันผวนอยู่ระหว่าง 60-65 บาท และ Trailing Stop ก็ปรับขึ้นตามไปด้วย เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 70 บาท นักลงทุนก็ขายหุ้นออกไปพร้อมกับผลกำไรที่ได้ Trailing Stop ช่วยปกป้องผลกำไรของนักลงทุนได้แม้ว่าราคาหุ้นจะผันผวนอย่างรุนแรง

เรื่องที่ 2: นักลงทุนอีกคนซื้อหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ราคา 100 บาท และตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 5% เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปที่ 110 บาท Trailing Stop จะปรับขึ้นไปที่ 105 บาท (110 - 5 = 105) อย่างไรก็ตาม จากนั้นราคาหุ้นก็ลดลงอย่างรวดเร็ว Trailing Stop ไม่สามารถปรับลงตามได้ทันท่วงที เนื่องจากความล่าช้าในการดำเนินคำสั่งขาย นักลงทุนจึงสูญเสียผลกำไรส่วนหนึ่ง

สิ่งที่เราเรียนรู้: เรื่องราวทั้งสองนี้แสดงให้เห็นว่า Trailing Stop เป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ การใช้ Trailing Stop ร่วมกับกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ และการเฝ้าติดตามตลาดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน

Trailing Stop คืออะไร?

วิธีใช้ Trailing Stop แบบทีละขั้นตอน

  1. กำหนดเป้าหมายในการลงทุน: กำหนดว่าคุณต้องการทำกำไรเท่าไหร่จากการลงทุน
  2. คำนวณเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว: แบ่งเป้าหมายในการลงทุนของคุณด้วยราคาของสินทรัพย์ที่คุณซื้อ ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือทำกำไร 10% และราคาของสินทรัพย์คือ 100 บาท เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวคือ 10%
  3. ตั้งคำสั่ง Trailing Stop: ตั้งคำสั่งขายโดยใช้ Trailing Stop โดยระบุเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวที่คำนวณไว้ ตัวอย่างเช่น ในตัวอย่างนี้ คุณจะตั้ง Trailing Stop ที่ 10%
  4. เฝ้าติดตามคำสั่ง: เฝ้าติดตามคำสั่ง Trailing Stop ของคุณและปรับเปลี่ยนหากจำเป็น

คำถามที่พบบ่อย

1. ฉันสามารถตั้ง Trailing Stop สำหรับสินทรัพย์ใดได้บ้าง?
ตอบ: Trailing Stop สามารถใช้กับสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้ในตลาด เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม และสินค้าโภคภัณฑ์

2. ฉันควรตั้งเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวที่เท่าไหร่?
ตอบ: เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และความเสี่ยงที่คุณยินดีรับ แต่โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะตั้งเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวไว้ระหว่าง 5-20%

3. ฉันควรเฝ้าติดตามคำสั่ง Trailing Stop ของฉันบ่อยแค่ไหน?
ตอบ: ความถี่ในการเฝ้าติดตามขึ้นอยู่กับความผันผวนของสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุนของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้วควรตรวจสอบคำสั่ง Trailing Stop ของคุณเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงตรงตามเป้าหมายในการลงทุนของคุณอยู่

ตารางสรุป

ประเภท วิธีการ ข้อดี ข้อเสีย
Trailing Stop แบบเปอร์เซ็นต์ ปรับขึ้นตามเปอร์เซ็นต์
Time:2024-09-08 13:17:41 UTC

newthai   

TOP 10
Related Posts
Don't miss