วิธีทำพะโล้สูตรเด็ด อร่อยกลมกล่อม หอมกรุ่นละมุนลิ้น

นำเรื่อง

พะโล้ อาหารจานอร่อยของไทยที่มีมายาวนานนับศตวรรษ เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันทั่วประเทศ ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมกรุ่นเครื่องเทศ และเนื้อเปื่อยนุ่มละลายในปาก จึงไม่แปลกใจเลยว่าพะโล้จะครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน

ในบทความนี้ เราจะมาเผยเคล็ดลับการทำพะโล้สูตรโบราณที่รับรองว่าจะทำให้คุณได้ลิ้มรสความอร่อยแบบต้นตำรับ พร้อมทั้งนำเสนอประโยชน์มากมายของพะโล้ที่มีต่อสุขภาพ

สูตรพะโล้แสนอร่อย

ส่วนผสม

• เนื้อหมู 1 กิโลกรัม (เลือกใช้ส่วนที่มีมันแทรกเล็กน้อย)
• เครื่องเทศพะโล้ 1 ชุด (ประกอบด้วย กานพลู อบเชย ลูกกระวาน โป๊ยกั๊ก ผักชีเมล็ด)
• ซอสดำ 1/2 ถ้วยตวง
• ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
• รากผักชี 2-3 ราก
• กระเทียม 5-6 กลีบ
• พริกไทยดำ 5-6 เม็ด
• น้ำเปล่า 2-3 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1. เตรียมเนื้อหมู หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ แล้วล้างทำความสะอาด
2. ต้มเครื่องเทศพะโล้ ห่อเครื่องเทศพะโล้ลงในผ้าขาวบาง แล้วนำไปต้มในน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวงประมาณ 5 นาที หรือจนกว่าเครื่องเทศจะส่งกลิ่นหอม
3. ผัดเนื้อหมู ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย แล้วนำเนื้อหมูลงผัดจนสุกประมาณ 3-4 นาที ปรุงรสด้วยซอสดำ ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทรายเล็กน้อย
4. ตุ๋นพะโล้ เทน้ำเครื่องเทศพะโล้ลงในกระทะ เคี่ยวต่อไปอีก 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าเนื้อหมูนุ่มเปื่อย
5. ใส่รากผักชี กระเทียม และพริกไทยดำ เติมรากผักชี กระเทียม และพริกไทยดำลงไป ปรุงรสเพิ่มเติมตามชอบ
6. ต้มต่อ ต้มต่อไปอีก 30 นาที หรือจนกว่าน้ำพะโล้เริ่มงวดลง
7. รับประทาน เสิร์ฟพะโล้พร้อมด้วยข้าวสวยหรือก๋วยเตี๋ยว

ประโยชน์ของพะโล้ต่อสุขภาพ

ไม่เพียงแต่จะมีรสชาติที่อร่อยเท่านั้น พะโล้ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย

• อุดมไปด้วยโปรตีน เนื้อหมูในพะโล้เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมร่างกาย
• มีไขมันน้อย พะโล้ที่ทำจากเนื้อหมูส่วนที่มีมันแทรกน้อยจะให้ไขมันเพียงเล็กน้อย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
• อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เครื่องเทศพะโล้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
• ช่วยลดคอเลสเตอรอล สารต้านอนุมูลอิสระในเครื่องเทศพะโล้ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้
• ช่วยต้านการอักเสบ เครื่องเทศพะโล้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย

วิธีเก็บรักษาพะโล้

• แช่ตู้เย็น พะโล้ที่ปรุงเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 3-4 วัน
• แช่แข็ง สำหรับการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น สามารถแช่พะโล้ในช่องแช่แข็งได้นานถึง 3 เดือน
• อุ่นร้อนก่อนรับประทาน เมื่อต้องการรับประทานพะโล้ที่แช่เย็นหรือแช่แข็งไว้ ควรอุ่นร้อนก่อนเสมอ

ตารางเปรียบเทียบเครื่องเทศพะโล้

กลยุทธ์การทำพะโล้ให้อร่อย

• เลือกใช้เนื้อหมูที่มีคุณภาพดี เนื้อหมูที่ใช้ทำพะโล้ควรเป็นเนื้อหมูส่วนที่มีมันแทรกเล็กน้อยเพื่อให้ได้รสชาติที่นุ่มและชุ่มฉ่ำ
• ปรุงเครื่องเทศให้ครบถ้วน เครื่องเทศพะโล้เป็นหัวใจสำคัญของพะโล้ที่อร่อย จึงควรปรุงเครื่องเทศให้ครบทุกชนิดและในปริมาณที่เหมาะสม
• ตุ๋นไฟอ่อนเป็นเวลานาน พะโล้จะยิ่งอร่อยเมื่อตุ๋นไฟอ่อนเป็นเวลานาน เพื่อให้เนื้อหมูนุ่มเปื่อยและน้ำพะโล้รสชาติกลมกล่อม
• ใส่ผักเพิ่มเติม นอกจากเนื้อหมูแล้ว สามารถใส่ผักอื่นๆ ลงไปในพะโล้ได้ เช่น ไข่ต้ม ไชเท้า แครอท เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ

ข้อดีและข้อเสียของพะโล้

ข้อดี

• อร่อยและมีกลิ่นหอม พะโล้เป็นอาหารที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมกรุ่นเครื่องเทศ และเนื้อหมูนุ่มละลายในปาก
• มีคุณค่าทางโภชนาการสูง พะโล้เป็นแหล่งโปรตีน ไขมันน้อย และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
• ทำง่าย พะโล้เป็นอาหารที่ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก
• เก็บรักษาได้นาน พะโล้ที่ปรุงเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็งได้นานหลายวัน

ข้อเสีย

• มีไขมันสูง พะโล้ที่ทำจากเนื้อหมูที่มีมันมากอาจมีไขมันสูงได้
• อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เครื่องเทศพะโล้บางชนิด เช่น กานพลูและลูกกระวาน อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้
• ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้เครื่องเทศ ผู้ที่แพ้เครื่องเทศใดๆ ก็ตามในเครื่องเทศพะโล้ไม่ควรรับประทาน

คำถามที่พบบ่อย

1. พะโล้มีต้นกำเนิดมาจากไหน
   พะโล้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนและได้รับความนิยมในไทยในช่วงสมัยอยุธยา
2. เครื่องเทศหลักในพะโล้มีอะไรบ้าง
   เครื่องเทศหลักในพะโล้ ได้แก่ กานพลู อบเชย ลูกกระวาน โป๊ยกั๊ก และผักชีเมล็ด
3. พะโล้ควรรับประทานคู่กับอะไร
   พะโล้สามารถรับประทานคู่กับข้าวสวยหรือก๋วยเตี๋ยวได้อย่างลงตัว
4. พะโล้มีอายุการเก็บรักษาที่เหมาะสมเท่ากับเท่าไหร่
   พะโล้ที่ปรุงเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 3-4 วัน และสามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นานถึง 3 เดือน
5. พะโล้มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
   พะโล้อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยต้านการอักเสบ
   6.